อาหารคีโตเจนิค ลดน้ำหนัก อย่างไรให้ได้ผล และปลอดภัย
อาหาร 18 ก.ย 63
Ketogenic Diet “คีโตเจนิค” เป็นการกินอาหารไขมันสูง และกินคาร์โบไฮเดรตให้น้อยที่สุด เมื่อร่างกายได้รับไขมันแทนคาร์โบไฮเดรต ทำให้ร่างกายเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญ ดึงพลังงานจากไขมันมาใช้แทนพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตหรือน้ำตาล นอกจากนิ้การกินอาหารคีโต ยังทำให้ระดับน้ำตาลและอินซูสินในเลือดลดลง เป็นผลดีต่อร่างกาย
อาหารคีโตเจนิคนั้น จะต้องเลือกกินไขมันให้ครบทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3, 6, 9, และกรดไขมันอิ่มตัว และต้องกินให้ถูกวิธี เพื่อการลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง และปลอดภัย ดังนั้น เลยมีข้อแนะนำสำหรับการเลือกอาหารคีโตเจนิคมาฝาก
สารอาหารที่ให้พลังงาน คือ
กรดไขมันแบ่งตามความต้องการของร่างกาย ได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
- กรดไขมันจำเป็น (สร้างเองไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหาร) ประกอบด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 และ กรดไขมันโอเมก้า 6
- กรดไขมันไม่จำเป็น (สร้างได้เอง) ประกอบด้วยกรดไขมันโอเมก้า 9 และ กรดไขมันอิ่มตัว
กรดไขมันแบ่งตามความอิ่มตัวของกรดไขมัน ได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ คือ กรดไขมันอิ่มตัว และกรดไขมันไม่อิ่มตัว
- กรดไขมันอิ่มตัว ได้มาจากไขมันที่มาจากสัตว์ หรือผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว
- กรดไขมันไม่อิ่มตัว แบ่งเป็น กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนและเชิงเดี่ยว
กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน ประกอบด้วย กรดไขมันโอเมก้า 3 และ กรดไขมันโอเมก้า 6
- กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ประกอบด้วย กรดไขมันโอเมก้า 9
- กรดไขมันโอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันจำเป็น พบในอาหารทะเล กุ้ง หอย ปู ปลา โดยเฉพาะปลาแซลมอนจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังเจอในพืชด้วย เช่น เมล็ดเจีย เมล็ดแฟลกซ์ และกรดไขมันโอเมก้า 3 มี 3 ชนิด คือ ALA(สารตั้งต้น) EPA และ DHA
- โปรตีน (หน่วยย่อยสุดคือกรดอะมิโน) ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี ต่อกรัม
- ไขมัน (หน่วยย่อยสุดคือกรดไขมันและกลีเซอรอล) ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี ต่อกรัม
- คาร์โบไฮเดรต (หน่วยย่อยสุดคือกลูโคส) ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี ต่อกรัม
ข้อควรต้องระวัง สำหรับคนที่กินอาหารคีโตเจนิค ที่มีโอเมก้า 3 อาจเสี่ยงเลือดหยุดยาก และอันตรายถึงชีวิตได้ นั่นก็คือ
- คนไข้ที่ทานยาแอสไพรินเป็นประจำ เช่น คนไข้อัมพาตครึ่งซีกที่มีสาเหตุมาจากเส้นเลือดสมองอุดตัน
- คนที่ทานยาวาร์ฟาริน เช่น คนไข้ที่เป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
เพื่อลดความเสี่ยงอันตรายที่มีผลต่อชีวิต ควรลดปริมาณการทานให้น้อยลง ถึงแม้กรดไขมันยังจำเป็นต่อร่างกายอยู่ แต่ได้รับมากเกินไปก็เกิดผลเสีย จึงแนะนำให้กินโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 ในสัดส่วน 4:1 ถึง 1:1
การกินคีโตเจนิค เหมาะกับใคร
การกินคีโตเจนิค ไม่ได้เหมาะกับทุกคน แต่เหมาะกับคนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน ผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือคนที่กำลังหาวิธีพัฒนาระบบเผาผลาญของตัวเอง ส่วนนักกีฬา คนที่ต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อและน้ำหนัก ไม่เหมาะกับการกินคีโตเจนิค และการกินคีโตเจนิคจะได้ผลดีก็ต้องมีความตั้งใจในการเลือกทาน และทำอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
เดือนแรกของการกินคีโตเจนิค
หากเรามีความเข้าใจเรื่องการกินแบบคีโตเจนิคแล้วจะเข้าใจว่า ไม่เหมือนการกินแบบทั่วไป ในช่วงแรกที่กินอาหารคีโต ร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะถูกตัดสารอาหารบางอย่างออกไป อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ได้ ควรหาอาหารเสริม อาทิ ผลิตภัณฑ์ธัญญาพืชกราโนไวบ์ส, เครื่องดื่มเวย์โปรตีน Wheywwl เป็นโปรตีนเสริมให้ร่างกาย เพื่อช่วยให้ร่างกายทำงานได้ปกติ
พร้อมทั้งต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพราะหลักการกินอาหารคีโตเจนิค จำเป็นต้องดื่มน้ำในปริมาณมากกว่าปกติ แนะนำให้พกขวดน้ำติดตัวไว้เสมอ ดังนั้น คนที่ต้องการลดน้ำหนักด้วยตัวเอง กับการกินอาหารคีโตเจนิค คุณต้องศึกษาให้ละเอียด น้ำหนักลดแล้ว สุขภาพต้องดีตามด้วย ให้ทุกอย่างสมดุล จะได้ไม่ต้องเสียเงินหาหมอให้ยุ่งยาก