สูตรลดน้ำหนัก แบบไหนที่เหมาะกับคุณ
ลดน้ำหนัก 3 ธ.ค 64
น้ำหนักตัวเยอะ ส่วนหนึ่งมาจากการกินอาหารที่มีแคลอรี่สูง จนร่างกายไม่สามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้ จึงสะสมเป็นไขมันทำให้น้ำหนักเพิ่ม ก่อนหาสูตรลดน้ำหนัก มาลดน้ำหนัก ต้องสำรวจร่างกายก่อนว่า เหมาะกับสูตรลดน้ำหนักแบบไหนมากที่สุด
น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน หลายคนมุ่งไปที่การควบคุมอาหาร “งด ลด เลิก” สรรหาสูตรลดน้ำหนักต่าง ๆ มาปรับใช้ แต่รู้มั้ยว่า สูตรการลดน้ำหนัก แต่ละรูปแบบ อาจแฝงมากับอันตรายที่ทำร้ายสุขภาพโดยไม่รู้ตัว
3 สูตรลดน้ำหนัก ต้องศึกษาก่อนลงมือทำ
1. Ketogenic Diet หรือ สูตรการลดน้ำหนักแบบคีโตเจนิค
สูตรลดน้ำหนักนี้ เน้นให้กินอาหารประเภทไขมันถึง 75% กินโปรตีนจากเนื้อสัตว์เพียง 20% และอีก 5% ให้กินคาร์โบไฮเดรตจากผักต่าง ๆ เป็นการกินแบบ low-carb, high-fat (LCHF)
พอเห็นว่า ต้องกินไขมันมากถึง 75% อาจดูขัดแย้งกับพลังงานที่ได้รับ เราจึงต้องคุมปริมาณให้พอเหมาะ เมื่อจำกัดการกินคาร์โบไฮเดรตจนเหลือเพียง 5% ทำให้ร่างกายจำเป็นต้องหาแหล่งพลังงานอื่นมาใช้ นั่นก็คือไขมันที่เราได้รับในปริมาณมาก เมื่อกินไขมันมาก ๆ แต่ขาดคาร์โบไฮเดรต ร่างกายจะเข้าสู่ภาวะคีโตสีส (Ketosis) คือ มีการดึงไขมันจากอาหาร และจากตับมาเป็นแหล่งพลังงานหลักในการดำรงชีวิต ซึ่งทำให้ไขมันที่สะสมอยู่ตามร่างกายถูกดึงมาใช้ด้วย
และเหตุนี้เองน้ำหนักตัวจึงลดลงได้ ถึงไขมันที่สะสมในตามร่างกายจะลดลงนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าไขมันในหลอดเลือดจะลดลงตามด้วยไป ในทางกลับกันการกินไขมันในปริมาณมากย่อมเพิ่มโอกาสที่จะเกิดไขมันเลว (HDL) ในหลอดเลือดที่สูงขึ้น
อย่างคนที่มีน้ำหนักตัวน้อย หรือคนผอมที่มีไขมันตามร่างกายน้อย กลับมีไขมันในเลือดสูง ซึ่งสามารถเกิดได้ทั้งจากชนิดอาหาร และระบบการทำงานของร่างกายที่แตกต่างกันไปจากพันธุกรรม
การลดน้ำหนักด้วย Ketogenic Diet ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลิน ผู้ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ก่อนลดน้ำหนักด้วยสูตรนี้ จึงควรทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วน
2. Paleo Diet หรือ “พาเลโอ ไดเอท”
สูตรลดน้ำหนักแบบมนุษย์ถ้ำ ต้องใช้ความอดทนมากพอสมควร เพราะหลัก ๆ คือการกินเนื้อ (ถ้าจะให้เป็นมนุษย์ถ้ำ 100% ต้องใช้เนื้อของสัตว์ที่กินหญ้าเป็นอาหารเท่านั้น) โดยเน้นผลไม้ 50% อีก 25% จะเป็นผักและเนื้อสัตว์ ควรเป็นผักสด ผลไม้ (หวานน้อย) ถั่ว เมล็ดธัญพืช โดยไม่ปรุงที่ซับซ้อน งดปรุงอาหารด้วยน้ำตาล เกลือ ขนมปัง น้ำมัน การลดน้ำหนักสูตรนี้ ถือว่าดีที่สุดเลยก็ว่าได้
3. Atkins Diet หรือ การกินแบบแอตกินส์
เป็นสูตรการลดน้ำหนักที่ได้ผลดี คือการกินอาหารประเภทโปรตีนให้ได้ 80% อีก 20% ให้กินไขมันชนิดดี (HDL) กับคาร์โบไฮเดรตจากผัก-ผลไม้
กินแบบแอตกินส์ คล้ายการกินแบบคีโตเจนิค คือเป็นการกินคาร์โบไฮเดรตให้น้อย เพื่อให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะการผลิตอินซูลินน้อยลง ทำให้การสะสมไขมันเป็นไปได้ช้า และดึงพลังงานจากไขมันมาใช้มากขึ้น เพียงแต่แอตกินส์ จะใช้พลังงานจากโปรตีนเป็นหลัก
ถึงแม้สูตรแอตกินส์ ต้องกินโปรตีนมากถึง 80% อาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารประเภทอื่น ๆ ประสิทธิภาพในการดูดซึมสารอาหารของลำไส้ลดลง มีภาวะท้องผูกเพราะได้รับไฟเบอร์น้อย จึงต้องระวังโรคที่เกี่ยวกับลำไส้ และทวารหนัก อาการปากแห้งและการมีกลิ่นปากด้วย
4. Intermittent Fasting หรือการไดเอทแบบ IF
สูตรลดน้ำหนักนี้ สามารถกินได้ทุกอย่าง แต่ต้องกำหนดช่วงเวลาที่กินได้ เช่น IF 16/8 จะมีช่วงเวลาที่กินได้ 8 ชั่วโมง จากนั้นต้องอดอาหารยาวไป 16 ชั่วโมง โดยในช่วงเวลาที่อด ร่างกายจะเริ่มดึงไขมันมาใช้มากขึ้น
ไดเอทแบบ IF มักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสารอาหารไม่สมดุล เพราะยังกินทุกอย่างได้ตามปกติ แต่การอดอาหารนาน ๆ ในวันแรก อาจส่งผลให้ระดับอินซูลินลดลงจนร่างกายอ่อนล้า สมองทำงานช้าลง และรู้สึกหิวมากในบางที พอทำไปสักระยะหนึ่งร่างกายก็จะปรับตัว และสามารถดึงพลังงานสะสมมาใช้ได้คล่องขึ้น และการทำ IF สามารถเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้สูงสุดถึง 14% เลยล่ะ
แต่ก็มีข้อเสียที่ควรระวังเช่นกัน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงบางอย่าง เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีปัญหาในการนอนหลับจนทำให้เสียสมดุลฮอร์โมน ส่วนผู้ป่วยหรือผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิต ไทรอยด์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนลดน้ำหนักสูตรนี้ เพื่อปรับขนาดยา และการฉีดอินซูลินให้สอดคล้องกับช่วงเวลาการกิน และการอด
การลดน้ำหนักต้องอยู่บนพื้นฐานความพอดี ควรคิดไว้เสมอว่า การลดน้ำหนักอาจมีข้อเสีย มากกว่าข้อดี จึงควรเลือกสูตรลดน้ำหนัก และเช็คร่างกายก่อนว่า เหมาะสมกับสูตรลดน้ำหนักแบบไหน โดยที่ไม่กระทบต่อชีวิตประจำวัน และสุขภาพของตนเอง
ลดค่าน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคเบาหวาน
ป่วยบ่อยเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันลดลง
ลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ถูกวิธีไม่มีโทรม!!