ฝนตกบ่อย ระวังป่วย เชื้อโรคจะถามหา!!
ทั่วไป 30 ก.ย 65
หน้าฝนปีนี้ ฝนตกค่อนข้างบ่อยและหนักแถบทุกวัน สำหรับใครที่ต้องสัญจรออกนอกพื้นที่บ้านไม่ว่าจะไปทำงาน ทำธุระต่าง ๆ ควรระวังการเจ็บป่วยได้ง่าย เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ โรคที่ติดต่อทางน้ำและอาหาร โรคที่ติดเชื้อทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง ยิ่งร่างกายอ่อนแอ ยิ่งทำให้เชื้อโรคถามหาถี่มากขึ้น
1. โรคระบบทางเดินหายใจ
- โรคไข้หวัดใหญ่
- โรคหลอดลมอักเสบ
- โรคปอดอักเสบ และปอดบวม
เกิดจากสภาพอากาศที่แปรปรวนบวกกับการหายใจเอาเชื้อไวรัสที่กระจายอยู่ในอากาศจากการไอ จาม ของคนที่ป่วยเข้าไป โดยเฉพาะช่วงหน้าฝนที่อากาศชื้น ทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้ง่ายมาก เพียงแค่สัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนกับเชื้อไวรัส หรือสัมผัสกับน้ำมูกที่ปนเปื้อนเชื้อโรค ก็สามารถติดต่อกันได้แล้ว
2. โรคติดต่อทางน้ำและอาหาร
- โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน
- โรคบิด
- โรคอาหารเป็นพิษ
- โรคตับอักเสบ เป็นต้น
เกิดจากการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ไม่สะอาด มีการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์และเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดโรคในระบบทางเดินอาหารและลำไส้ มักมีอาการปวดท้อง ท้องเดิน ถ่ายไม่หยุด อาเจียน บางรายเป็นหนักถึงขั้นขาดน้ำและหมดสติได้
3. โรคติดเชื้อทางบาดแผลหรือเยื่อบุผิวหนัง
- โรคแลปโตสไปโรซิส หรือที่รู้จักกันในนาม "โรคฉี่หนู"
- โรคตาแดง
ส่วนมากเกิดจากการสัมผัสกับน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรค โดยเฉพาะเชื้อโรคที่มาพร้อมกับน้ำท่วมขัง น้ำเสียในท่อระบายน้ำ น้ำที่ปนเปื้อนสิ่งปฏิกูลทั้งจากคนและสัตว์ สัมผัสดิน สัมผัสอาหารที่ปนเปื้อนปัสสาวะ เลือด หรือเนื้อเยื่อของของสัตว์ที่ติดเชื้อชนิดนี้ เช่น สุนัข วัว ควาย หนู สุกร ม้า สัตว์ป่า เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีโรคไข้เลือดออก , โรคไข้สมองอักเสบ , โรคมาลาเรีย ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากยุง ไม่ว่าจะเป็นยุงลาย ยุงรำคาญ หรือยุงก้นปล่อง เป็นพาหะ และมักแพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำตามทุ่งนา หรือภาชนะที่มีน้ำขัง อาการที่พบได้บ่อยคือ มีไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ หากเป็นหนักอาจถึงขั้นช็อค หมดสติและเสียชีวิตได้
สิ่งที่ช่วยป้องกันโรคดังกล่าวได้ ทุกคนต้องใส่ใจดูแลสุขภาพให้มากขึ้น วันนี้จึงมี 5 เคล็ดลับมาแนะนำ
1. สวมหน้ากาก ล้างมือ เท้า เมื่อสัมผัสสิ่งสกปรก
เวลาที่เผลอเดินไปในแอ่งน้ำที่ขังตามท้องถนน เท้าคุณอาจสัมผัสกับสิ่งปรกเข้าแล้ว หรือแม้กระทั่งใช้มือไปจับสิ่งของ เช่น จับบันไดเลื่อน กดลิฟท์ โหนรถเมล์ หรือแม้แต่กับแลกซื้อสินค้าต่าง ๆ กับแม่ค้า ก็เสี่ยงได้รับสิ่งสกปรกแล้วล่ะ ทางที่ดีควรทำความสะอาดร่างในส่วนที่ได้สัมผัสมา ที่สำคัญสามหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเพื่อป้องกันเชื้อโรคจากอากาส หรือผู้ป่วยคนอื่นที่ต้องพูดคุยสื่อสาร
2. พักผ่อนให้เพียงพอ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร
ใน 1 วัน ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตร หรือ 8-10 แก้วต่อวัน ควรดื่มทีละนิด ค่อย ๆ จิบ ไม่ควรดื่มทีละมาก ๆ ในคราเดียว เพื่อเติมน้ำเข้าสู่ร่างกาย การดื่มน้ำนั้นช่วยรักษาสมดุลของร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี และยังลดโอกาสในการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ที่จะเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่ป่วยและเป็นหวัดง่ายอีกด้วย ไม่เพียงเท่านี้ ควรนอนหลับพักผ่อนวันละ 6-8 ชั่วโมง จะช่วยให้การทำงานของฮอร์โมนในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่อมแซมและฟื้นฟูร่างกายจากโรคภัยต่าง ๆ
3. พกร่มและเสื้อกันฝนตลอด
เราไม่สามารถทราบแบบชัดเจนได้ว่า วันนี้ฝนจะตกไหม!? และจะต้องหนักแค่ไหน!? เวลาที่ฝนตกทำให้อุณหภูมิในตัวเราลดลง การที่ศีรษะเปียกฝน หรือ เสื้อผ้าและรองเท้าเปียกอับชื้นจึงส่งผลทำให้เราเป็นหวัดได้ การที่เราพกร่มและเสื้อกันฝนติดตัวไปด้วยเสมอ เพื่อไม่ให้ร่างกายเปียกฝนเวลาฝนตกก็จะช่วยป้องกันอาการเจ็บป่วยได้
4. รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่
รับประทานอาหารที่ปรุงสุก สะอาด และถูกหลักอนามัย เพื่อป้องกันการเกิดโรคระบบทางเดินอาหารที่มาพร้อมกับฤดูฝน อย่างเช่น โรคท้องเสีย โรคอาหารเป็นพิษ ไม่เพียงแต่รับประทานอาหารที่ปรุงสุกเพียงอย่างเดียว แต่ควรที่จะรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกายอีกด้วย
5. เพิ่มความสดชื่นด้วยชาสมุนไพร
การปรับอุณหภูมิในร่างกายให้อุ่น จะช่วยป้องกันไข้หวัด จึงควรเลือกดื่มชาสมุนไพรอุ่น ๆ เช่น ชาขิง ที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้กับร่างกาย ชาเขียวร้อน หรือสมุนไพรอื่นที่มีฤทธิ์ร้อนช่วยปรับอุณหภูมิร่างกายให้สูงขึ้น
คนผอม “มีพุง” กับวิธีลดพุงแบบไม่ต้องพึ่งยา
5 Super Food ดีต่อสุขภาพ เสริมความงาม
วิธีลดคอเลสเตอรอล ไขมันในเลือด