ตรวจเช็ค อาการโควิด-19 และวิธีป้องกันโควิด
สุขภาพ 6 พ.ค 64
“ไวรัสโคโรนา” หรือ “โควิด-19” ยังมีการแพร่ระบาดเรื่อยๆ ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ ทำให้ใครหลายคนเป็นกังวล ไม่กล้าเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง ถึงแม้ว่ายังคงต้องเดินทางไปทำงานทุกวันก็ตาม
ไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 คืออะไร?
ไวัรสโคโรนา (Coronavirus) เป็นไวรัสที่ถูกพบครั้งแรกในปี 1960 แต่ยังไม่ทราบแหล่งที่มาอย่างชัดเจนว่ามาจากที่ใด แต่เป็นไวรัสที่สามารถติดเชื้อได้ทั้งในมนุษย์และสัตว์ ปัจจุบันมีการค้นพบไวรัสสายพันธุ์นี้แล้วทั้งหมด 6 สายพันธุ์ ส่วนสายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาดหนักทั่วโลกตอนนี้เป็นสายพันธุ์ที่ยังไม่เคยพบมาก่อน คือ สายพันธุ์ที่ 7 จึงถูกเรียกว่าเป็น “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่” และในภายหลังถูกตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า “โควิด-19” (COVID-19) นั่นเอง ดังนั้น ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และโควิด-19 จึงหมายถึงไวรัสชนิดเดียวกัน
แหล่งที่มาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19
ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 แรกเริ่มถูกค้นพบจากสัตว์ทะเลก่อน เมื่อคนที่อยู่ใกล้คลุกคลีกับสัตว์เหล่านี้ ก็สามารถติดเชื้อไวรัสมาได้ง่ายๆ โดยเริ่มจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ที่มีข้อสงสัยว่ามาจากตลาดที่ค้าขายสัตว์ทะเล และสัตว์หายาก
อาการโควิดเบื้องต้น
ข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลก ระบุว่าอาการโควิด-19 ที่สังเกตได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองมี อาการดังนี้
- มีไข้สูง 37.5
- เจ็บคอ
- ไอแห้ง
- น้ำมูกไหล
- หายใจเหนื่อยหอบ
- ปวดเมื่อยเนื้อตัว
- ท้องเสีย
- ปวดศีรษะ
- สูญเสียความสามารถในการดมกลิ่นและรับรส
- มีผื่นบนผิวหนัง
- ตาแดง
- นิ้วมือนิ้วเท้าเปลี่ยนสี
บางรายมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ โดย ทางด้านแพทย์อาจจะตรวจสอบเพิ่มเติมด้วยการเอกซ์เรย์ปอด แล้วพบว่าปอดบวมอักเสบร่วมด้วย หากมีอาการหนักมาก ๆ (พบว่าติดเชื้อในระยะหลัง ๆ แล้ว) อาจอันตรายถึงอวัยวะภายในต่าง ๆ ล้มเหลว
อัปเดตอาการโควิด-19 เพิ่มเติม : วิจัยย้ำ! "ไม่ได้กลิ่น-ไม่รู้รส" เป็นอาการ "โควิด-19" ที่พบได้ชัดเจนกว่าอื่นๆ
วิธีป้องกันการติดเชื้อโควิด-19
- หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม น้ำมูกไหล เหนื่อยหอบ เจ็บคอ
- หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง
- สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ
นอกจากนี้ ใครที่มีความจำเป็นต้องการเดินทางไปสถานที่อื่นๆ ระมัดระวังการสัมผัสพื้นผิวที่ไม่สะอาด และอาจมีเชื้อโรคเกาะอยู่ รวมถึงสิ่งที่มีคนจับบ่อยครั้ง เช่น ที่จับบน BTS, MRT, Airport Link ที่เปิด-ปิดประตูในรถ กลอนประตูต่าง ๆ ก๊อกน้ำ ราวบันได ฯลฯ เมื่อจับแล้วอย่าเอามือสัมผัสหน้า และข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ กระเป๋า ฯลฯ
- ล้างมือให้สม่ำเสมอด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลอย่างน้อย 20 วินาที ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ไม่ต่ำกว่า 70% (ไม่ผสมน้ำ)
- งดจับตา จมูก ปากขณะที่ไม่ได้ล้างมือ
- หลีกเลี่ยงการใกล้ชิด สัมผัสสัตว์ต่าง ๆ โดยที่ไม่มีการป้องกัน
- รับประทานอาหารสุก สะอาด ใช้ช้อนกลาง ไม่ทานอาหารที่ทำจากสัตว์หายาก
อันตรายที่น่ากลัวของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ อาการโดยทั่วไปจะดูเหมือนเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา แต่ที่กลัวกันทั่วโลกเป็นเพราะเชื้อไวรัสนี้เป็นสายพันธุ์ใหม่ยังไม่มียาปฏิชีวนะตัวไหนสามารถรักษาให้หายได้โดยตรง การรักษาเป็นไปแบบประคับประคองตามอาการเท่านั้น ทั้งนี้ อันตรายที่ทำให้เสี่ยงถึงชีวิต จะเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิต้านทานโรคของเราไม่แข็งแรง หรือเชื้อไวรัสเข้าไปทำลายการทำงานของปอดได้ จนทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายลุกลามมากขึ้น รวดเร็วขึ้น
กลุ่มเสี่ยงที่คสรระวังติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มากที่สุด คือ
- ผู้สูงอายุ
- คนที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง
- คนที่ภูมิคุ้มกันผิดปกติ หรือกินยากดภูมิต้านทานโรคอยู่
- คนที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานมาก (คนอ้วนมาก)
- ผู้ที่เดินทางไปในประเทศเสี่ยงติดเชื้อ เช่น จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง มาเก๊า สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม อิตาลี อิหร่าน ฯลฯ
- ผู้ที่ต้องทำงาน หรือรักษาผู้ป่วย ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 อย่างใกล้ชิด
- ผู้ที่ทำอาชีพที่ต้องพบปะชาวต่างชาติจำนวนมาก เช่น คนขับแท็กซี่ เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล ลูกเรือสายการบินต่าง ๆ เป็นต้น
หากมีอาการควรทำอย่างไร
หากมีอาการคล้ายโควิด-19 ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียด และเมื่อแพทย์ซักถามควรตอบตามความเป็นจริง ไม่ปิดบัง ไม่บิดเบือนข้อมูลใด ๆ เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้องมากที่สุด
หากเพิ่งเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง ควรกักตัวเองอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปข้างนอกเป็นเวลา 14-27 วัน เพื่อให้ผ่านช่วงเชื้อฟักตัว (ให้แน่ใจจริง ๆ ว่าไม่ติดเชื้อ)
เช็คให้ชัวร์ แบบไหนที่ต้องไปตรวจโควิด
**หากไม่มีอาการใด ๆ เลย ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจ
ตรวจเชื้อโควิด-19 ฟรี หากผู้เข้าตรวจตรงตามเกณฑ์เหล่านี้
- เพิ่งกลับจากการเดินทางไปในประเทศกลุ่มเสี่ยง
- มีอาการผิดปกติที่ระบบทางเดินหายใจ
- มีไข้มากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส
- มีอาการไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หอบเหนื่อย ปอดอักเสบอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- มีประวัติใกล้ชิด หรือสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ เช่น คนในครอบครัวเพิ่งกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง
- ทำอาชีพที่ต้องพบปะชาวต่างชาติจำนวนมาก เช่น คนขับแท็กซี่ เจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยติดเชื้อ ลูกเรือสายการบิน เป็นต้น
กระตุ้นการเผาผลาญไขมันด้วย 6 เทคนิค
สุขภาพดีโดยไม่ต้องออกกำลังกาย
กินคลีน – ออกกำลังกาย อย่าลืมดูแลสุขภาพ